กีฬาต่อสู้ กีฬาที่ฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจให้แกร่ง ทุกศาสตร์การต่อสู้ล้วนมีข้อดี

นักกีฬาสายต่อสู้ทั้งหลายรู้กันดีว่า เสน่ห์ของกีฬาต่อสู้นั้นเป็นอย่างไร ความสนุกตื่นเต้นทั้งการฝึกซ้อมทั้งการแข่งขัน ทำให้นักกีฬาทุกคนเมื่อได้ลองเล่นแล้วก็มักจะเลิกเล่นกันไม่ได้ หลายแขนงการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นมวย เทควันโด คาราเต้ ไอกิโด ยิวยิตสู ยูโด หรือกีฬาที่ต้องใช้อาวุธก็ล้วนแล้วแต่สร้างความสนุกให้กับผู้เล่นทั้งสิ้น สิ่งสำคัญของกีฬาต่อสู้คือการฝึกร่างกายและจิตใจอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และเมื่อฝึกมาได้ถึงจุดหนึ่งที่นักกีฬามั่นใจว่าเข้าศึกศาสตร์การต่อสู้นั้นแล้วก็มักจะมองหาและเปรียบเทียบกับกีฬาต่อสู้ประเภทอื่นว่าจะสามารถต่อกรกันได้หรือไม่ บางคนจึงหันไปฝึกกีฬาประเภทอื่นต่อก็มี แต่กีฬาที่กระตุ้นอารมณ์นักสู้ให้พลุ่งพล่านเป็นอย่างมากก็คือมวยกรง หรือ MMA นี่แหละ

นักกีฬาต่อสู้ จำนวนมากเริ่มหลั่งไหล สนใจหันมาเล่นกีฬาต่อสู้ MMA มากขึ้น

การเข้าสู่เส้นทางต่อสู้ MMA นั้นแรงจูงใจหนึ่งก็มาจากความท้าทายจากการแข่งขันและการต่อสู้ที่ต้องมีการนำศิลปะการต่อสู้มาผสมผสานเพื่อประยุกต์ใช้ต่อสู้กันจริง ๆ ซึ่งแน่นอนว่านักกีฬาต่อสู้ที่มีความกังขาในเทคนิคของกีฬาต่อสู้ของตัวเองอยู่แล้วก็อยากเข้ามาสัมผัส ลองของกันดูบ้าง แรงจูงใจอีกประการหนึ่งที่ดึงดูดนักกีฬาต่อสู้จำนวนมากให้เข้ามาสู่วงการมวยกรงก็คือ ค่าตอบแทน ซึ่งในกีฬาต่อสู้เดิม ๆ ที่มีแข่งขันกันอยู่หากไม่ใช่นักกีฬาอาชีพค่าตอบแทนก็เพียงแค่พอเลี้ยงชีพได้ แต่สำหรับวงการ MMA นั้นแตกต่างกันออกไป ค่าตอบแทนในการแข่งขันไม่ได้จ่ายเป็นรายเดือน หรือรายปี แต่มีการตกลงทำสัญญากันเป็นแมทช์การแข่งขัน หรือหากมีความสามารถมาก ๆ มีอิทธิพลต่อวงการสื่อโซเชียลก็อาจมีการตกลงกันเป็นรอบสัญญาคราวละ 5 แมทช์ 10 แมทช์ก็ว่ากันไป ค่าตอบแทนสูงสุดก็เฉียด 1,000 ล้านบาทต่อแมทช์สำหรับรายการดัง ๆ อย่าง UFC นะ แต่หากเป็นรายการใหม่ ๆ ค่าตอบแทนก็ต่ำลงมาเป็นลำดับ ค่าตอบแทนนักกีฬาเหล่านี้ได้มาจากสปอนเซอร์ที่เป็นผู้สนับสนุนการแข่งขัน นี่จึงสอดคล้องกับค่าตอบแทนนักกีฬาที่มีพื้นที่ในสื่อโซเชียลมาก ๆ ก็จะมีการเสนอค่าตอบแทนสูง ยิ่งมีฝีมือด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้ค่าตอบแทนยิ่งสูงขึ้นไปอีก ด้วยสองแรงจูงใจนี่เองที่ทำให้นักกีฬาต่อสู้จำนวนมากเริ่มหันมาเล่นกีฬา MMA กันมากขึ้น

มีนักต่อสู้เพียงไม่มากนักที่สามารถดำเนินวิถีชีวิตต่อในเส้นทาง MMA

แม้จะมีนักกีฬาจำนวนมากบ่ายหน้าเข้ามาสู่วงการ MMA แต่นักกีฬาที่ยังเหลือเล่นอยู่มีไม่มากนัก เมื่อผ่านไปเวลาจะคัดกรองนักกีฬาที่ยังเหลืออยู่เอง แม้จะมีแรงจูงใจเรื่องค่าตอบแทนที่ค่อนข้างสูง แต่คนที่เหลืออยู่กลับเป็นคนที่ชื่นชอบและหลงใหลในเสน่ห์ของกีฬาจริง ๆ ไม่ได้มองเพียงแค่เรื่องของค่าตอบแทนเป็นหลักเสียแล้ว

นักกีฬา MMA ต้องระวังการบาดเจ็บอย่างไรบ้าง

ในวงการกีฬาต่อสู้ย่อมต้องเจอกับเรื่องอาการบาดเจ็บอยู่เสมอ เนื่องจากมีการปะทะกันระหว่างคู่ต่อสู้ ซึ่งก็จะมีทั้งอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยไปจนถึงอาการบาดเจ็บอย่างหนัก ถึงแม้ว่าการฝึกให้ร่างกายแข็งแรงจะมาเป็นอันดับแรกเลยก็ตาม แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีในเรื่องการป้องกันด้วยเช่นกัน ทำให้ในการแข่งขันจำเป็นต้องมีทั้งกฎกติกาและอุปกรณ์ในการป้องกันที่ได้มาตรฐาน เพื่อเป็นตัวช่วยสำคัญให้กับนักกีฬา

ตัวนักกีฬาเองก็ต้องมีความระมัดระวังอาการบาดเจ็บต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งระหว่างการฝึกซ้อมและในระหว่างการแข่งขันบนสังเวียน โดยเริ่มจากการเรียนรู้พื้นฐานของกีฬา MMA ให้เข้าใจ มีการวอร์มก่อนและยืดกล้ามเนื้อหลังเล่นกีฬาทุกครั้ง ประมาณ 5 ถึง 10 นาที เพื่อ ให้กล้ามมีความยืดหยุ่น และมีความแข็งแรง ช่วยป้องกันการอักเสบและฉีกขาด เลือกรับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ครบถ้วนและดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะในเวลาที่เหมาะสมคือ 30 นาทีก่อนฝึกซ้อมและ ประมาณ10-20 นาทีหลังฝึกซ้อม ในระหว่างการฝึกซ้อม หรือการแข่งขันต้องสวมใส่เสื้อผ้าและอุปกรณ์ป้องกันการบาดเจ็บในถูกต้องเหมาะสมตามกฎกติกา

อาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา MMA รู้ไว้…เพื่อการป้องกันที่ถูกวิธี

อาการบาดเจ็บต่าง ๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เมื่อเล่นกีฬา MMA ซึ่งเป็นกีฬาปะทะ โดยแบ่งเป็น

  1. อาการบาดเจ็บเล็กน้อย โดยได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างถูกต้องก็สามารถบรรเทาอาการนั้นได้ หรือหายได้เองในเวลาไม่นาน เช่น อาการตะคริว แผลถลอกเพียงเล็กน้อย ฟกช้ำบริเวณแขน ขา เป็นต้น การปฐมพยาบาลด้วยการให้เวลาพัก หรือประคบเย็นก็สามารถทำการฝึกซ้อมและแข่งขันต่อได้
  2. อาการบาดเจ็บปานกลาง โดยต้องอาศัยดุลยพินิจและคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่นอาการเอ็น หรือกล้ามเนื้อฉีกขาดบางส่วน อาการบวม ปวด ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนไหวของอวัยวะอื่น ๆ สามารถทำได้ลำบาก นักกีฬาบางรายอาจจะต้องพักตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ หรือในบางรายต้องเข้ารับการรักษาจากแพทย์ต่อไป
  3. อาการบาดเจ็บขั้นรุนแรง ซึ่งต้องมีการหยุดฝึกซ้อม หรือยกเลิกการแข่งขัน เพราะอาจจะมีอันตรายต่อนักกีฬาได้ เช่น กล้ามเนื้อฉีกขาดรุนแรง เส้นเอ็นขาด มีอาการบาดเจ็บบริเวณสำคัญอย่าง ศีรษะและลำคอ หรืออาการหมดสติที่มาจากความผิดปกติของการทำงานของหัวใจ เป็นต้น ต้องได้รับการรักษาและเฝ้าดูอาการจากแพทย์อย่างเร่งด่วนและทันท่วงที อาจจะมีระยะเวลาในการรักษาและการพักฟื้นนานเพื่อให้ร่างกายกลับมาสู่สภาวะปกติ สามารถทำการฝึกซ้อมได้ตามเดิม

ประโยชน์ที่นักกีฬา MMA ได้จากการอบอุ่นและการยืดกล้ามเนื้อร่างกาย

การอบอุ่นร่างกาย จะสามารถช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อให้เกิดการเคลื่อนไหวที่สมดุลมากขึ้น เพราะหลอดเลือดจะเกิดการขยายตัวสามารถลำเลียงออกซิเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหัวใจมีอัตราการเต้นที่อยู่ในสภาวะพร้อมสำหรับการออกกำลังกาย ลดโอกาสเกิดอาการบาดเจ็บได้ดีกว่านักกีฬาที่ไม่ได้อบอุ่นร่างกายก่อนฝึกซ้อม ถ้าหากเป็นการแข่งขันที่มีความตื่นเต้นก็ยิ่งจะต้องอบอุ่นร่างกายให้พร้อม เพื่อลดอาการตื่นเต้นและอาการบาดเจ็บระหว่างการแข่งขัน

การยืดกล้ามเนื้อร่างกายสามารถช่วยให้เกิดการผ่อนคลายและช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย ซึ่งจะลดอาการกล้ามเนื้อยึด หรือล้าได้ดี จึงทำให้นักกีฬาไม่รู้สึกปวดเมื่อยหลังฝึกซ้อมมากจนเกินไป กล้ามเนื้อยังมีความยืดหยุ่น ร่างกายกระฉับกระเฉงสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ในระหว่างวันได้ดีมากขึ้น

กีฬา MMA กีฬาสำหรับคนรักการต่อสู้ ที่ยังไงก็ต้องหลงใหล

เริ่มเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายมากขึ้นแล้วสำหรับกีฬา MMA กีฬาต่อสู้สมัยใหม่ ที่มีการผสมผสานศิลปะการต่อสู้หลายแขนงไว้ด้วยกัน ผู้เล่นมาจากผู้ที่ถนัดการต่อสู้แขนงต่าง ๆ แต่ชื่นชอบกีฬาต่อสู้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คนกลุ่มนี้เชื่อได้เลยว่าหลายคนสงสัยกันอยู่ลึก ๆ ในใจแหละว่า กีฬาต่อสู้ประเภทไหน แกร่งที่สุด จึงทำให้มีนักกีฬาแขนงต่าง ๆ เข้ามาลองของกันมากขึ้น ๆ เหมือนที่เห็นกัน แต่รู้ไหมว่าพอได้เข้ามาสัมผัสกับมวยกรงเข้าจริง ๆ กลับทำให้เหล่านักสู้เหล่านั้นเกิดความหลงใหลในเสน่ห์ของการต่อสู้แบบผสมผสานนี้จนไม่อยากจะเลิกเล่นกันเลย เพราะความที่กติกานั้นไม่ได้จำกัดเทคนิคในการต่อสู้ เพียงแต่จำกัดการใช้อาวุธบางอย่างเพื่อความปลอดภัย จึงทำให้นักกีฬาที่แข่งขันสนุก ตื่นเต้นกับการแข่งขันได้มากขึ้นนั่นเอง

ต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เพื่อการพัฒนาตัวเองไม่หยุดยั้ง

การจะปรับตัวให้คุ้นเคยกับกติกาการเล่น เทคนิคที่ควรเลือกนำมาใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ก็ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนร่างกายและจิตใจอยู่เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งเลย เทคนิคของกีฬาต่อสู้แต่ละประเภทไม่เหมือนกัน ซึ่งนั่นหมายความว่าการใช้ศักยภาพของร่างกายส่วนต่าง ๆ ก็จะแตกต่างกันไปด้วย เมื่อต้องมาใช้เทคนิคการต่อสู้แบบผสมผสานจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องฝึกฝนร่างกายให้พร้อมรับกับการฝึกหรือแข่งขัน ไม่ต่างอะไรกับต้องเรียนศิลปะการต่อสู้แขนงอื่น อีกหลาย ๆ แขนงเพิ่มขึ้น และนักกีฬาส่วนมากก็ชื่นชอบเสียด้วยเพราะท้าทายความสามารถดี การฝึกเทคนิคต่าง ๆ ต้องเข้าใจกติกาของการแข่งว่าจะเกิดการแพ้ ชนะ กันได้เมื่อใดบ้าง จากนั้นจึงต้องฝึกทั้งเทคนิคการรุกและการรับเพื่อหาแนวทางในการเอาชนะและแนวทางในการเอาตัวรอดไปควบคู่กัน พื้นฐานความแข็งแรงของร่างกายก็ไม่สามารถจะละทิ้งได้ นักกีฬาต่อสู้ทุกคนต้องมีการวิ่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกายให้พร้อมสำหรับการฝึกทักษะทางด้านต่าง ๆ โปรแกรมการฝึกต้องถูกวางอย่างเหมาะสม เพื่อให้สามารถพัฒนาในทุก ๆ ด้านได้ในเวลาอันรวดเร็ว และที่สำคัญผู้ฝึกเองก็ต้องฝึกอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอด้วยจึงจะเห็นผล

ผลที่ได้ ดีกับผู้ฝึกเกินคาด แกร่งขึ้นได้ทั้งร่างกายและจิตใจ

เมื่อผ่านโปรแกรมการฝึกมาสักช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ผู้ฝึกจะเกิดการปรับตัวเปลี่ยนแปลงจนแต่แม้ตัวเองก็สัมผัสได้ สภาพร่างกายที่แกร่งขึ้น ไขมันที่ถูกเผาผลาญไปจนสังเกตได้ สภาพกล้ามเนื้อมัดเล็กที่เป็นกล้ามเนื้อที่ถูกใช้มากสำหรับกีฬา MMA จะถูกพัฒนาจนเกิดความกระชับ สภาพจิตใจที่มั่นคงเพราะไม่ว่าจะเป็นการลงนวมฝึกซ้อมหรือการแข่งขันนักกีฬาจำเป็นต้องใช้สมาธิในการแข่งขันสูงมาก ซึ่งผลที่ตามมาก็คือผู้ที่ฝึกเองนั่นแหละที่มีจิตใจที่แกร่งขึ้น เมื่อนักกีฬาต่อสู้ได้ฝึกมาถึงจุดนี้แล้วก็มักจะหลงรักกีฬา MMA ไปแล้วและแทบจะไม่มีใครคิดจะหยุดเล่นกีฬานี้เลย ถ้าไม่ใช่ว่าอายุมากจนอยากจะพักแล้ว

MMA กีฬาที่ต้องใช้ศักยภาพทางร่างกายทุกส่วนอย่างเต็มที่

กีฬาต่อสู้ทุกชนิดประเภทเป็นกีฬาที่ต้องใช้สมรรถนะร่างกายสูง เนื่องจากต้องใช้สมาธิในการฝึกซ้อมหรือแข่งขันสูง ความเครียด ความกดดันจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนเป็นระยะเวลานาน ๆ อย่างน้อยก็ตลอดช่วงที่ฝึกซ้อมหรือช่วงแข่งขัน ผลที่ตามมาจึงกระทบกับร่างกายภายหลังจากที่มีการฝึกซ้อมหรือแข่งขันได้ ผลอย่างหนึ่งที่เป็นรูปธรรมก็คืออาการกล้ามเนื้อล้า หรืออ่อนแรง ความอ่อนเพลียที่มากกว่าการเล่นกีฬาประเภทอื่น ๆ ที่แม้จะมีความกดดันหรือความเครียดอยู่บ้างแต่ไม่เท่ากีฬาประเภทต่อสู้อย่าง MMA แน่นอน นักกีฬาที่สัมผัสแล้วจะรู้ดี วิธีการที่ดีที่สุดในการเตรียมตัวคือเตรียมกล้ามเนื้อให้เกิดความยืดหยุ่นพร้อมรับการฝึกให้มากที่สุด

การอบอุ่นร่างกายที่ดี ทำให้การฝึกซ้อมและแข่งขันกีฬา MMA มีประสิทธิภาพสูงสุด

การอบอุ่นร่างกายให้มีประสิทธิภาพต้องรู้ว่าการเล่นกีฬานั้นต้องใช้ร่างกายหรือกล้ามเนื้อส่วนใดเป็นพิเศษบ้าง จากนั้นจึงเลือกท่า Stretching ที่เหมาะสม สำหรับสาระน่ารู้เกี่ยวกับการอบอุ่นร่างกายของนักกีฬา MMA ซึ่งเป็นกีฬาที่ผสมผสานศาสตร์การต่อสู้หลายชนิดนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอบอุ่นร่างกายให้ถูกท่า ในระยะเวลาที่เหมาะสม คือไม่มากหรือไม่น้อยจนเกินไปด้วย ปกติแล้วการวอร์มร่างกายจะเริ่มจากล่างขึ้นบน เนื่องจากเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มีผลกับสมดุลร่างกาย ใช้การยืดกล้ามเนื้อขาบริเวณข้อพับหลังเข่า เป็นส่วนสำคัญที่สุดที่ต้องทำให้ยืดคลายมากที่สุดเนื่องจากมีผลกับเอวและหลังเป็นอย่างมาก ควรใช้ท่าบริหารอย่างน้อย 3 – 4 ท่า แต่ละท่าทำในเวลาไม่น้อยกว่า 1 – 2 นาที จากนั้นจึงทำการยืดบริเวณกล้ามเนื้อต้นขา อีก 1 – 2 ท่า ท่าละ 1 – 2 นาทีเช่นกัน สูงขึ้นมาเป็นบริเวณเอวที่เป็นทางเชื่อมกล้ามเนื้อระหว่างส่วนล่างกับส่วนบน ใช้เวลากับส่วนนี้ประมาณ 3 – 4 นาที แล้วจึงยืดส่วนที่เหลือช่วงบนไม่ว่าจะเป็นต้นแขน ไหล่ คอ และหลังรวมกันประมาณ 8 – 10 นาที ดังนั้นโดยรวมแล้วการ Stretching จะใช้เวลาอย่างน้อย 30 นาที ซึ่งพอจะทำให้ร่างกายนักกีฬาพร้อมสำหรับการฝึกหนักได้  และอย่าลืมว่าเมื่อเข้าโปรแกรมฝึกซ้อมต้องเริ่มโปรแกรมด้วยท่าเบา ๆ ก่อนเสมอ

นอกจากร่างกายจะพร้อมในการฝึกซ้อมและต่อสู้แล้ว ยังช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บได้ด้วย

นักกีฬาหลายคนเห็นว่าการอบอุ่นร่างกายไม่ใช่เรื่องจำเป็น มุ่งเน้นไปที่การเข้าโปรแกรมเลย อันนี้เป็นแนวคิดที่ผิดเพราะหากร่างกายไม่พร้อมเช่นกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นต่าง ๆ หากไม่ได้รับการยืดอย่างเพียงพอจะทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย อย่าว่าแต่การถูกกระแทกเลย แม้แต่การออกแรงด้วยตัวนักกีฬาเองแต่ออกผิดจังหวะยังมีโอกาสให้เกิดอาการบาดเจ็บได้เลย และเมื่อเกิดอาการบาดเจ็บเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นนั้นนักกีฬาต้องพักอย่างน้อยถึง 2 สัปดาห์เลยทีเดียว ยิ่งกีฬาต่อสู้อย่าง MMA ด้วยแล้วล่ะก็ หากบาดเจ็บขึ้นมาก็นานกว่านี้แน่นอน ดังนั้นอย่าละเลยการอบอุ่นร่างกายที่เหมาะสมเพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายพร้อมแล้วยังลดความเสี่ยงอาการบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมหรือแข่งขันได้ด้วย

นักกีฬา MMA การผสมผสานอย่างลงตัวของศาสตร์แห่งการต่อสู้

ใครที่เคยได้ดูการแข่งขันกีฬาต่อสู้อย่าง MMA หรือมวยกรง อาจจะสงสัยอยู่ไม่น้อยว่ามันมีศิลปะการต่อสู้แบบนี้บนโลกใบนี้ด้วยหรือ บางทีก็ทุบกันที่จุดอันตราย บางทีก็ใช้การล็อคกันจนสลบ บางทีก็นอนต่อสู้ หรือจะคุมเชิงปะทะกันจากวงนอกก็มี แล้วสรุปว่ากีฬาชนิดนี้มันเล่นหรือมีกติกาอย่างไรกันแน่ เอาง่าย ๆ เลยก็คือสังเวียน MMA นี้เป็นสังเวียนที่เปิดโอกาสให้นักสู้จากศิลปะการต่อสู้ทุกสาขาได้มาประมือกัน ใครจะงัดเอาเทคนิคการต่อสู้แบบใดมาต่อกรกันก็ได้ไม่ว่ากัน มีเงื่อนไขในการแพ้ชนะอยู่ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยอมแพ้ หรือหมดสติไปก่อนก็ถือว่าพ่ายแพ้ไป โดยการดูแลเรื่องความปลอดภัยของนักกีฬาขึ้นกับดุลยพินิจของกรรมการ นักกีฬาที่เข้าร่วมต่อสู้ก็มีการผสมผสานศิลปะการต่อสู้หลาย ๆ แบบเข้าด้วยกันเพื่อสร้างความได้เปรียบให้ตนเองมากที่สุด

ศิลปะการต่อสู้ชนิดใดบ้างที่มีการนำมาใช้ในกีฬา MMA

ศิลปะการต่อสู้หลากหลายชนิดที่มีการนำมาผสมผสานกันทั้งการรุกรับวงนอก และการต่อสู้แบบประชิดตัว ศิลปะการต่อสู้ที่เห็นได้บ่อย ๆ ก็มี มวย หลายแขนง ทั้งมวยไทย กังฟู คาราเต้ เทควันโดหรือมวยจีนก็มีการนำมาประยุกต์ใช้ในการต่อสู้ ศิลปะการต่อสู้ที่มีพื้นฐานหมัดมวยนี้เหมาะสำหรับการรุกและรับจากวงนอกหรือระยะใกล้ เพราะต้องมีการออกอาวุธทั้งหมัด ทั้งเท้า หากสังเกตให้ดีจะพบว่ามวยแต่ละประเภทจะมีการใช้มือและเท้าที่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว บางประเภทใช้สันหมัด บางประเภทใช้สันมือ ส่วนเท้าบ้างก็ใช้หลังเท้า บ้างก็หน้าแข้ง บ้างก็สันเท้าด้านนอก ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าศิลปะต่อสู้นั้นมีรูปแบบการฝึกฝนอย่างไร ส่วนศิลปะการต่อสู้แบบประชิดตัวที่เห็นนำมาใช้กันมากก็คือ ยิวยิตสู ไอกิโด และยูโด ซึ่งเน้นที่การล็อคคู่ต่อสู้ในระยะประชิด ส่วนมากจะเกิดการแพ้ชนะกันจากการล็อคนี่แหละ เพราะหากล็อคถูกจุด ถูกจังหวะแล้วคู่ต่อสู้มักจะเลือกที่จะยอมแพ้ไปก่อน ไม่อย่างนั้นอาจทำให้หมดสติได้ นักกีฬาที่ก้าวเข้ามาในวงการ MMA มักมีความถนัดอยู่ 2 – 3 ชนิด แต่เมื่อเข้ามาฝึกซ้อมแล้ว จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ศาสตร์การต่อสู้อื่นเพิ่มเติมเพื่อใช้เป็นทางหนีทีไล่หากเจอคู่ต่อสู้ที่ถนัดชนิดอื่นด้วย 

ศิลปะการต่อสู้แบบใดที่เหมาะกับการใช้จริงในโลกการต่อสู้จริงอย่าง MMA

ถ้าจะให้ฟันธงไปว่าศิลปะการต่อสู้แบบใดที่เหมาะกับสังเวียนมวยกรงอย่าง MMA ก็คงไม่สามารถระบุให้ชัดเจนไปได้ เพราะยังไม่เห็นนักกีฬาคนใดที่ใช้ศิลปะการต่อสู้ชนิดเดียวแล้วประสบความสำเร็จเป็นแชมป์จากการแข่งขันเลย ส่วนมากก็จะนำศาสตร์การต่อสู้หลาย ๆ แขนงมาประยุกต์แล้วปรับเปลี่ยนรูปแบบให้กลายเป็นสไตล์ของตัวเอง เมื่อใดก็ตามที่มาถึงจุดที่ศิลปะการต่อสู้ต่าง ๆ หลอมรวมเป็นตัวของตัวเองได้แล้วนั่นแหละมักจะทำให้นักกีฬาต่อสู้คนนั้นก้าวสู่ความเป็นที่สุดได้ในสังเวียน MMA

กีฬาต่อสู้ MMA ที่มีการผสมผสานทั้งกีฬาและการฝึกสมาธิ

เมื่อได้ยินคำว่ากีฬา MMA หลายคนคงนึกถึงความรุนแรง การต่อสู้ปะทะกันแบบดุเดือด ที่น้อยคนนักจะอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกีฬาชนิดนี้ จริงอยู่ว่ากีฬา MMA นี้เป็นกีฬาต่อสู้ที่อาจมีการใช้อาวุธที่ค่อนข้างหนักหน่วงรุนแรง รวมไปถึงการผสมผสานศาสตร์การต่อสู้หลายชนิดมาไว้ด้วยกันทั้งระยะไกล ระยะใกล้ และระยะประชิด ไม่ใช่ว่านักกีฬาทุกคนจะต้องเก่งกล้าสามารถไปเสียทุกประเภทกีฬาต่อสู้นะ ส่วนมากก็มาเรียนรู้เอาก็ตอนฝึกนี่แหละ เรียนรู้กันไป ใช้ความสามารถเดิมเป็นหลัก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ “สมาธิ” กีฬาต่อสู้ที่ต้องฉับไวทั้งการเคลื่อนไหว และตัดสินใจ เลี่ยงไม่ได้เลยจริง ๆ ที่นักกีฬาต้องมีระดับสมาธิที่สูงมาก ด้วยเสน่ห์นี้แหละที่ทำให้กีฬานี้เริ่มเกิดความน่าสนใจมากขึ้น เพราะความท้าทายนี้แหละ

ยิ่งฝึกยิ่งได้ ร่างกายและจิตใจที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

เมื่อเริ่มฝึกนั้นนักกีฬาทั้งหลายที่เพิ่งเข้ามาจะเริ่มทำความรู้จักกับกติกา วิธีการฝึก รวมไปถึงการเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการฝึกหรือการแข่งขัน โดยที่ผู้ฝึกเองนั้นอาจไม่ได้สังเกตว่าเมื่อได้มีการเรียนรู้เรื่องราวใหม่ ๆ จะทำให้สมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังเรียนรู้ ยิ่งเป็นผู้ที่รักกีฬาต่อสู้ด้วยอยู่แล้วจะรู้สึกว่ามันมีความสุขที่ได้เรียนรู้กีฬาต่อสู้ที่น่าตื่นเต้น ภาพการต่อสู้จากกรงการแข่งขันที่แทบจะพลาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียวเพราะทุกจังหวะทำให้เกิดผลแพ้ชนะได้ทันทีก็จะยิ่งสูบฉีดอะดรีนาลีนในร่างกายให้พลุ่งพล่าน นี่เป็นหนึ่งในกระบวนการฝึก เพราะผู้ฝึกเองก็ต้องได้เห็นการแข่งขันเพื่อบันทึกรูปแบบไว้ ซึ่งจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสไตล์ของตัวเองได้ในภายหลัง เมื่อภาคทฤษฎีกระตุ้นความรู้สึกได้แล้ว ก็ตามด้วยภาคปฏิบัติที่ต้องมีการฝึกสภาพร่างกายจากห้องยิม และการเข้าคู่เพื่อฝึกทักษะการต่อสู้แบบลงนวมซ้อมจริง เป็นกระบวนการวนเวียนกันไปแบบนี้ ความหลากหลายในรูปแบบการฝึกก็ขึ้นอยู่กับโค้ชของแต่ละคนว่าจะสร้างสรรค์ออกมาได้มากน้อยเพียงใด แต่ทุกครั้งที่ฝึกก็จะยิ่งเพิ่มระดับความสามารถ รวมไปถึงระดับของสมาธิที่จะพัฒนาไปควบคู่กัน

การเปลี่ยนแปลงที่นักกีฬาต่อสู้ MMA ต้องทึ่ง

กว่านักกีฬาคนหนึ่งจะมีโอกาสได้ลงสนามแข่งขันจริง ๆ ก็ต้องใช้เวลาฝึกอยู่นานหลายเดือน จนเมื่อโค้ชเห็นว่าพร้อมทั้งสภาพร่างกาย ทักษะ เทคนิค และจิตใจ จึงจะตัดสินใจให้เริ่มลงแข่งขัน นักกีฬาต่อสู้จะเกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดดเมื่อผ่านสังเวียนจริง มันจึงเป็นวัฏจักรที่โค้ชทั้งหลายอยากผลักดันให้นักกีฬาของตัวเองนั้นได้ลงสนามจริงให้เร็วที่สุด ในเวลาที่เหมาะสมที่สุด หากเร็วเกินไปนักกีฬาจะเกิดความท้อแท้เพราะเหมือนไม่สามารถทำอะไรคู่ต่อสู้ได้ ช้าเกินไปก็เกิดความเบื่อหน่ายที่ได้แค่เพียงซ้อมไม่ได้ลงสนามจริงเสียที โค้ชจึงต้องประเมินนักกีฬาอย่างเหมาะสมที่สุด และเมื่อผ่านการแข่งขันไปได้ ไม่ว่าแพ้หรือชนะ เชื่อเถอะว่าตัวนักกีฬาเองนั่นแหละที่จะสัมผัสได้ว่าตัวเองมีความเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใดทั้งร่างกาย และจิตใจ หากนักกีฬารู้จักการประเมินตัวเองด้วยแล้วล่ะก็นี่เป็นเส้นทางที่จะทำให้เกิดการพัฒนาแบบไม่สิ้นสุดเลยทีเดียว

จะเริ่มเล่นกีฬาต่อสู้ MMA มีข้อจำกัดอะไรบ้างหรือไม่

เมื่อได้ดูการแข่งขันกีฬาต่อสู้ บนสังเวียน MMA ความสนุกตื่นเต้นของการแข่งขันคงทำให้นักกีฬาต่อสู้อีกไม่น้อยเกิดความคิดอยากเข้าไปลองสัมผัสกับกีฬาชนิดนี้ดูบ้าง แต่ก็อาจกังวลอยู่ว่าจะสามารถเล่นได้หรือเปล่า หรือมีข้อจำกัดอะไรหรือไม่ เมื่อดูจากรายชื่อแชมป์ก็จะพบว่า นักกีฬาที่ได้แชมป์หลายสมัยต่อกันนั้นมีน้อยมาก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ข้อมูลนี้สะท้อนถึงอะไร? ข้อมูลนี้บอกให้ทราบว่ากีฬานี้เป็นกีฬาที่น่าท้าทาย แชมป์มีโอกาสรักษาแชมป์ได้น้อยมาก มีการแปรผันของผลการแข่งขันค่อนข้างสูง ทั้งที่กติกาไม่ได้ซับซ้อนเลย นี่แสดงว่าผลการแข่งขันขึ้นอยู่กับความพร้อมของนักกีฬาแต่ละคนจริง ๆ การผสมผสานกันของศิลปะการต่อสู้เพื่อนำมาใช้ต่อสู้ของแต่ละคนทำได้สมบูรณ์เพียงใด คนนั้นมีโอกาสขึ้นสู่แชมป์ได้สูง เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยหากตั้งเป้าจะเป็นแชมป์หากวางแผนได้ดี

เคล็ดลับการเป็นนักกีฬา MMA ที่ดี และสามารถก้าวสู่แชมป์ได้

เมื่อตัดสินใจเลือกเข้ามาในวงการกีฬาต่อสู้ MMA แล้วการกำหนดเป้าหมายสูงสุดของตัวเองจะเป็นแรงจูงใจที่ดีที่สุดในการวางแผนการฝึกซ้อม มีเคล็ดลับไม่กี่ประการเท่านั้นที่แชมป์ MMA หลาย ๆ คนเลือกทำเพื่อผลักดันให้ตัวเองขึ้นสู่จุดสูงสุดของกีฬามวยกรงที่น่าตื่นเต้นนี้

  1. กำหนดโปรแกรมการฝึกซ้อมที่เหมาะสม : โปรแกรมฝึกซ้อมที่ดีต้องเหมาะสมกับผู้ฝึก สอดคล้องกับสมรรถนะ ยืดหยุ่นได้ตามสภาพ เช่น เริ่มแรกควรเริ่มจากเบาไปหนัก มีทั้งการพัฒนาความแข็งแกร่งของร่างกาย ความยืดหยุ่นของร่างกาย และทักษะการต่อสู้ โปรแกรมมีการปรับตามสมรรถนะที่พัฒนาขึ้นอาจเป็นรายสัปดาห์ หรือรายเดือน
  2. มีความสม่ำเสมอในการฝึกซ้อม : เมื่อวางโปรแกรมฝึกซ้อมแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอในการฝึกซ้อม เพราะกีฬาต่อสู้เช่นนี้จำเป็นต้องพัฒนาทักษะทุกด้านอย่างต่อเนื่อง ผู้ฝึกต้องมีวินัยในการฝึกซ้อมสูงมาจึงจะสามารถพัฒนาตัวเองได้
  3. ประเมินร่างกายตามสภาพจริง : การประเมินมี 2 วัตถุประสงค์คือ เพื่อปรับยกระดับโปรแกรมฝึกซ้อมและเพื่อหยุดเพื่อพัก หากประเมินแล้วพบว่าโปรแกรมนั้นเบาไปแล้วก็สามารถเพิ่มโปรแกรมให้หนักหรือเข้มข้นขึ้นได้ แต่หากประเมินแล้วพบว่าร่างกายมีอาการบาดเจ็บก็จำเป็นต้องพัก อย่าฝืนร่างกาย

ความตั้งใจจริง ความมุ่งมั่น และความสม่ำเสมอ ที่จะทำให้คุณกลายเป็นนักกีฬาที่ดีได้

นักกีฬาที่ดีหาได้ยาก แต่นักกีฬาที่ดีและประสบความสำเร็จหาได้ยากยิ่งกว่า นักกีฬาที่มุ่งมั่นอย่างแท้จริงจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนกว่านักกีฬาที่ฝึกซ้อมอย่างไรจุดหมาย เมื่อเป้าหมายชัดเจนจะทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะทำสิ่งนั้นซ้ำ ๆ กันจนกลายเป็นกิจวัตรได้ หากคุณผ่านจุดเริ่มต้นจนทำให้การฝึกซ้อมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันได้แล้วล่ะก็ การจะก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ลองประเมินดูสิว่าคุณเองพร้อมจะเป็นแชมป์ MMA หรือยัง?

รีดน้ำหนักกระชับรูปร่างด้วยการเล่นกีฬา MMA

การลดน้ำหนักที่ใครต่อใครก็คิดว่าทำได้ยาก จึงมักท้อเสียก่อนแล้วในที่สุดก็ไม่สามารถลดน้ำหนักได้อย่างที่หวัง จึงทำให้เกิดเป็นโรคอ้วนกันมากขึ้น แต่ถ้าใครที่มีความพยายามและเอาจริงเอาจังก็จะสามารถบรรลุผลตามต้องการได้อย่างแน่นอน อีกหนึ่งวิธีการที่น่าเลือกก็คือ การเลือกเล่นกีฬา MMA เพื่อเป็นตัวช่วยในการรีดเหงื่อและรีดน้ำหนัก สามารถเลือกเป็นแนวทางในการกระชับรูปร่างได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังให้ความสนุกสนานและความท้าทายได้ไม่น้อย เนื่องจากโปรแกรมการฝึกซ้อมที่มีประสิทธิภาพจะทำให้ร่างกายทุกส่วนถูกใช้งานอย่างเหมาะสม กล้ามเนื้อกระชับ ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย อย่างเช่น ระบบการไหลเวียนเลือดทำงานมีประสิทธิภาพ กล้ามเนื้อปอดและหัวใจแข็งแรง ร่างกายก็ห่างไกลจากโรคอีกด้วย เพราะกีฬา MMA เป็นการผสมผสานกีฬาการต่อสู้หลายชนิด การออกอาวุธจึงหลากหลายทั้ง มือ แขน ขา ลำตัวและเท้า ทุกส่วนของร่างกายได้ใช้งาน

3 วิธีดี ๆ ในการลดน้ำหนักให้ได้ผลมากที่สุดตามแบบฉบับนักมวย MMA

  1. ความมีวินัยและมีความอดทน เพื่อการออกกำลังกายทุกชนิดจะต้องมีความสม่ำเสมอจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี เป็นเวลาอย่างน้อย 45 นาที – 1 ชั่วโมงต่อวันและไม่น้อยกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ยังต้องเพิ่มขีดจำกัดให้กับการฝึกซ้อมของตนเองเพื่อให้ร่างกายสามารถนำพลังงานมาใช้ในการเผาผลาญได้สูงขึ้น เมื่อสามารถผ่านบททดสอบที่ยากและเข้มงวดมาได้ระดับหนึ่งแล้วอาจจะยังค้นพบศักยภาพในตัวเองได้อีกจนสามารถขึ้นเวทีเป็นนักกีฬาเต็มรูปแบบได้ในอนาคต
  2. สิ่งสำคัญที่นักกีฬาต้องทำไปพร้อม ๆ กับการฝึกซ้อมก็คือ การควบคุมอาหาร โดยเลือกรับประทานอาหารที่หลากหลายและมีประโยชน์ต่อร่างกาย หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ เพื่อให้ร่างกายทุกส่วนได้พัฒนาอย่างเต็มที่ แล้วยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เพราะไม่เกิดการสะสมของไขมันส่วนเกินอย่างแน่นอน เนื่องจากร่างกายนำไปใช้ตามสัดส่วนที่เหมาะสมทุกวัน
  3. การพักผ่อนอย่างเพียงพอหลังจากการฝึกซ้อม ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยการจัดตารางให้มีความลงตัว ถ้าหากได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายอาจจะอ่อนล้า ทำให้ไม่มีทั้งกำลังกายและกำลังใจในการฝึกซ้อมสำหรับวันต่อไป เพราะการฝึกซ้อมมวย MMA ใช้พลังงานค่อนข้างมาก ร่างกายจะต้องมีความสมดุลเพื่อความฟิตแอนด์เฟิร์มได้ทุก ๆ วัน

เล่นกีฬา MMA ให้มากกว่าการลดน้ำหนัก ยังสร้างภูมิคุ้มกันได้สารพัดโรค

การเลือกเล่นกีฬา MMA ที่ว่าสามารถรีดน้ำหนักได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีประโยชน์ในการสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกายได้ดีอีกด้วย โดยคนทั่วไปที่ไม่ออกกำลังกายมีโอกาสเกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดสูง เมื่อระบบหัวใจและหลอดเลือดเริ่มทำงานไม่ปกติย่อมส่งผลให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเสื่อมประสิทธิภาพตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นปอด ตับ ไต กระเพาะอาหาร ลำไส้และอื่น ๆ แม้แต่ท่านที่เป็นโรคภูมิแพ้ก็สามารถเลือกเล่นได้ โดยฝึกซ้อมในระดับที่เหมาะสม ไม่ควรหักโหมมากจนเกินไป หรืออยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญและแพทย์  และที่สำคัญยังทำให้อารมณ์สดชื่นแจ่มใสมากกว่าตอนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน เพราะหุ่นดีกระชับขึ้น คล่องตัวในทุกกิจกรรม ดังนั้นการฝึกซ้อมเป็นประจำจึงให้มากกว่าการลดน้ำหนักอย่างแน่นอน

อาหารดีมีประโยชน์ที่นักกีฬา MMA ควรเลือก

เรื่องอาหารการกินนั้นมีความสำคัญต่อนักกีฬาไม่น้อยไปกว่าชั่วโมงของการฝึกซ้อม เพื่อการเตรียมพร้อมของร่างกายและจิตใจที่มีคุณภาพทุกเวลา การเลือกรับประทานอาหารให้ถูกหลักจะสามารถเพิ่มสมรรถภาพของการฝึกซ้อมและการแข่งขันได้ดีกว่า ตัวนักกีฬา MMA กีฬาที่มีการผสมผสานศิลปะการต่อสู้หลายชนิดนั้นควรจะเพิ่มเติมความรู้ทางโภชนาการให้กับตัวเอง เพราะถ้าหากว่านักกีฬาได้รับสารอาหารไม่เพียงพอก็จะทำให้เกิดอาการเหนื่อยล้าได้ง่าย

อาหารดีมีประโยชน์ที่นักกีฬา MMA ควรเลือก คืออาหารที่ให้พลังงานอย่างเพียงพอในการสร้างความพร้อมสำหรับการฝึกซ้อม นั่นคือกลุ่มสารอาหารจำพวก คาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมัน เนื่องจากพลังงานจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของนักกีฬาเพื่อการเคลื่อนไหวที่มีประสิทธิภาพ กระฉับกระเฉง ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าได้ง่าย กล้ามเนื้อสามารถพัฒนาได้ดี ปอดและหัวใจแข็งแรง แต่สารอาหารในกลุ่มวิตามินและเกลือแร่ก็ควรได้รับในปริมาณที่พอเหมาะเช่นกันเพื่อเสริมสร้างการสร้างพลังงาน ช่วยในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดงและลำเลียงออกซิเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นักกีฬา MMA ควรเลือกอาหารก่อนและหลังการฝึกซ้อมอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ

สาระน่ารู้ในการเลือกอาหารก่อนการฝึกซ้อมควรเลือกอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตสูง มีอาหารจำพวก ข้าว ขนมปัง เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายกายต้องการ จำเป็นต้องได้รับให้เพียงพอกับการฝึกซ้อม MMA เพื่อให้ร่างกายสามารถดึงพลังงานไปใช้ได้และไม่เหลือเก็บสะสม ในส่วนของโปรตีนจะมีสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ โดยนักกีฬาสามารถหารับประทานได้จากแหล่งโปรตีนที่ดีทั้ง เนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อปลา ไข่ นม เป็นต้น นอกจากนี้ยังควรได้รับสารอาหารประเภทไขมันในปริมาณพอดี ไม่ให้เกิดการสะสมมากจนเกินไป เพราะนักกีฬาจะต้องมีวินัยในการเลือกรับประทานอาหาร การตามใจตัวเองโดยเลือกอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการจะส่งผลให้มีน้ำหนักตัวไม่ได้มาตรฐาน การฝึกซ้อม หรือการแข่งขันก็จะไม่มีประสิทธิภาพตามไปด้วย ในส่วนของการเลือกอาหารหลังการฝึกซ้อม ควรเป็นสารอาหารจำพวกที่ให้ประมาณน้ำตาลกลูโคส เกลือแร่และวิตามินเพื่อให้ร่างกายนำไปทดแทนส่วนที่ได้สูญเสียไปทางเหงื่อ เช่น น้ำผักผลไม้ ขนมปังโฮลวีต หรือ ซีเรียลที่ผสมธัญพืช เป็นต้น นอกจากนี้ในบางท่านจะเสริมเกลือแร่และวิตามินเพิ่มก็ได้ตามความเหมาะสม แต่ไม่ควรเลือกเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน หรือดื่มน้ำอัดลม เพราะจะทำให้เกิดการสูญเสียน้ำในร่างกายมากเกินไป แต่ควรเลือกดื่มน้ำเปล่าเพื่อชดเชยเหงื่อที่สูญเสียไป แล้วยังช่วยรักษาความสมดุลของสารอาหารต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่นักกีฬา MMA ต้องใส่ใจและเลือกดื่มอย่างถูกวิธีคือ น้ำ เพราะมีความสำคัญกับระบบย่อยอาหาร ระบบการไหลเวียนเลือดและระบบขับถ่าย น้ำที่ดีที่สุดก็คือ น้ำเปล่า ควรจิบอย่างสม่ำเสมอ โดยปกติที่ประมาณ 30มล./น้ำหนักตัว 1 กก.

ความพิถีพิถันเรื่องอาหารย่อมสร้างสุดยอดของนักกีฬา MMA ได้แน่นอน

สำหรับนักกีฬา MMA ที่ได้รับความเอาใจใส่ในเรื่องอาหารการกิน เลือกรับประทานอาหารที่ให้พลังงานเพียงพอย่อมมีโอกาสพัฒนาความสามารถและทักษะต่าง ๆ ได้ดีกว่า เพราะร่างกายแข็งแรงและมีความพร้อมให้กับการฝึกซ้อม ไม่เหนื่อยง่าย โปรแกรมการซ้อมแบบหนักหน่วงแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่น่าหนักใจอีกต่อไป ไม่เฉพาะแต่ในฤดูกาลแข่งขันเท่านั้นแต่ต้องมีความต่อเนื่องและมีความสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกาย กล้ามเนื้อได้รับการบำรุงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน อาหารที่มีรสจัดควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยง เพราะอาจจะเป็นสาเหตุของอาการเจ็บป่วยได้ ไม่ว่าจะเป็น อาหารรสเผ็ดจัด หรือเค็มจัด จะส่งผลให้ตับและไตทำงานหนักมากเกินไป

กว่าจะได้ขึ้นสังเวียนต่อสู้จริงอย่าง UFC หรือ One Championships ไม่ใช่เรื่องง่าย

นักกีฬาต่อสู้จำนวนมากที่ผันตัวเองจากชนิดกีฬาเดิมที่ตัวเองถนัดเข้ามาสู่โลกแห่งการผสมผสานกีฬาต่อสู้หลากชนิดอย่าง MMA นั้นมีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยแรงจูงใจในหลาย ๆ เรื่อง แต่เรื่องหนึ่งที่เป็นพลังผลักดันสูงสุดคือความท้าทายที่จะพิชิตความเป็นสุดยอดของกีฬานี้ให้ได้ เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่าคุณคือสุดยอดนักสู้เหนือเหล่านักสู้ทั้งปวงนั่นเอง ระยะแรกของการฝึกซ้อมเป็นการเรียนรู้ศาสตร์ใหม่ ๆ เรื่องการต่อสู้แต่ละแขนงให้แตกฉาน ระยะนี้ใครเรียนรู้ได้เร็วก็ก้าวสู่ขั้นต่อไปได้เร็ว เมื่อก้าวสู่ขั้นต่อไปเป็นการเรียนรู้เชิงทักษะและเทคนิคต่าง ๆ ที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้นในช่วงนี้นักกีฬาจะเริ่มผสานเอาทักษะเดิมที่ตนเคยมีมากับศาสตร์ใหม่ที่ได้เรียนรู้ประยุกต์ให้กลายเป็นสไตล์การต่อสู้ที่เหมาะกับตัวเอง ในขณะที่การฝึกซ้อมลงนวมเก็บประสบการณ์ก็ต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนถึงจุดหนึ่งที่โค้ชมองเห็นว่าพร้อมที่จะเริ่มลงแข่งจริงได้จึงจะได้ลงสนามจริง บางคนใช้เวลาแรมเดือน บางคนใช้เวลาหลายปี บางคนก็ถอดใจกันไป เป็นเรื่องธรรมดา

แชมป์ MMA ต้องมีการวางตารางโปรแกรมฝึกซ้อมอย่างไรบ้าง

เมื่อกำหนดเป้าหมายแน่นอนว่าจะต้องเป็นแชมป์ MMA ให้ได้แล้วก็ต้องวางโปรแกรมการฝึกซ้อมให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด มาดูกันว่าโปรแกรมการฝึกซ้อมสำหรับนักกีฬาต่อสู้ที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์มีการฝึกการอย่างไร

  1. เริ่มวันด้วยการฝึกความแข็งแกร่งของร่างกาย : อาจเป็นการวิ่ง สลับกับการเข้าห้องยิม ซึ่งผลที่ได้ก็จะแตกต่างกันไป การวิ่งใช้พัฒนาระบบการหายใจให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นควบคู่ไปกับการควบคุมน้ำหนัก ส่วนการเข้าห้องยิมเพื่อพัฒนาระบบกล้ามเนื้อซึ่งเป็นส่วนสำคัญสำหรับนักกีฬา MMA ที่ต้องมีการปะทะกันอยู่ตลอดเวลา โดยมีการเพิ่มความเข้มข้นของโปรแกรมตามศักยภาพของนักกีฬาแต่ละคน
  2. วอร์ม ยืดกล้ามเนื้อ และฝึกพื้นฐาน : ช่วงนี้จะเป็นการทบทวนทักษะการต่อสู้ทั้งหมดด้วยการวอร์มเบา ๆ แต่ทุกครั้งต้องทำการยืดกล้ามเนื้อให้คลาย ร่างกายพร้อมเสียก่อน ผู้ฝึกจะจินตนาการถึงพื้นฐานของการต่อสู้ทั้งหมดทุกแขนง บางครั้งอาจใช้อุปกรณ์ในโรงยิมอย่างกระสอบ หรือเป้าล่อ เป็นตัวช่วยก็ได้
  3. Sparring : การลงนวมซ้อมจริงกับคู่ซ้อมเป็นการฝึกการใช้ทักษะและการหาระยะ จังหวะที่จะนำเอาเทคนิคเหล่านั้นมาใช้ในสถานการณ์จริง ในการลงนวมนั้นก็มีตั้งแต่แบบพื้นฐาน เพื่อเช็คจังหวะ ไปจนถึงการลงนวมซ้อมเหมือนจริง หรือที่เรียกว่า อุ่นเครื่อง ก็ได้
  4. จบวันด้วยการยืดคลายเส้น ทานอาหารที่มีประโยชน์ ทุกครั้ง

การรักษาแชมป์ทำได้ยากยิ่งกว่าการได้มาซึ่งตำแหน่งแชมป์เสียอีก

แม้โปรแกรมจะดูเหมือนไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่การทำเป็นกิจวัตรอย่างสม่ำเสมอนั้นสำคัญยิ่งกว่า เมื่อสามารถก้าวเข้าสู่ตำแหน่งแชมป์ได้แล้ว สิ่งที่ยากที่สุดก็คือ การรักษาแชมป์นั้นไว้ให้นานที่สุด ซึ่งจากสถิติแล้วน้อยคนนักที่จะสามารถรักษาแชมป์ไว้ได้นาน หลายสมัย เพราะนักกีฬาใหม่ที่มีจำนวนมากขึ้น รวมถึงนักกีฬาเก่าที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อมเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์ให้ได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากแชมป์ MMA จะเปลี่ยนหน้าไปทุก ๆ ปี